Friday, February 21, 2014

ตลาดมะนาว (Lemon Market)



ตลาดมะนาว (Lemon Market)
"The bad driving out the good” (Gresham's law)

ในปี 2001 George Akerlof ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเศรษฐศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาความไม่สมมาตรของข้อมูล (Asymmetric information) เรียกให้ง่ายๆ คือ คนสองฝ่ายมีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งๆ หนึ่งไม่เท่าเทียมกัน เมื่อข้อมูลที่ได้รับไม่เท่าเทียมกัน การตั้งราคาตามคุณค่าที่คาดหวัง ย่อมไม่เท่ากัน คำว่า Lemon หรือ มะนาว เปรียบได้กับการเลือกซื้อมะนาว ผู้ซื้อจะไม่รู้ว่ามะนาวที่ซื้อไปเปรี้ยวหรือหวาน[1] ส่วนคำว่า Lemon Market เป็นคำ slang ที่ใช้แทนตลาดรถมือสองนั่นเอง
 เนื่องจากงานศึกษานี้เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ ผู้อ่านลองจินตนาการถึงตลาดรถมือสอง เมื่อกล่าวถึงตลาดจะประกอบไปด้วย ผู้ซื้อคือฝั่งอุปสงค์ และผู้ขายคือฝั่งของอุปทาน โดยผู้ซื้อที่ต้องการซื้อรถมือสองจะไม่ทราบถึงคุณภาพของรถที่ซื้อจนกว่าจะนำมาใช้ขับจึงจะทราบว่ารถที่ซื้อมานั้นใช้งานได้ดีหรือเลือกพลาดซื้อมาซ่อมแล้วซ่อมอีก  ในขณะที่ผู้ขายจะทราบดีถึงสภาพของรถที่ตนขาย และแน่นอนว่าผู้ขายทั่วๆไปมักจะไม่บอก ด้วยเหตุนี้ผู้ซื้อเช่นเรา จึงยินดีจ่ายเพียงค่าเฉลี่ยของราคารถทั้งดีและไม่ดีรวมกัน ในส่วนของผู้ขายก็จะยินดีขายในราคาที่ตนเองได้กำไร
ปัญหาของผู้ขายไม่ได้ อยู่ที่รถไม่ดี เพราะรถเหล่านั้นจะให้กำไรที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากราคาต่ำกว่าราคาที่ผู้ซื้อยอมซื้อมาก ปัญหามาตกอยู่ที่รถที่คุณภาพดี ที่ผู้ขายมีสิทธิ์ที่จะตั้งราคาที่สูงแต่กลับไม่สามารถทำได้เนื่องจาก ผู้ซื้อไม่ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับรถที่มีคุณภาพดีเพียงพอที่จะตัดสินใจซื้อรถเหล่านี้ในราคาที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย เมื่อรถดีๆเหล่านั้นขายไม่ได้ หรือหากขายได้ก็ต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นผู้ที่ครอบครองรถดีจะไม่นำรถไปขายที่ตลาดรถมือสอง  แต่จะมีแนวโน้มที่จะขายผ่านรูปแบบอื่นมากกว่า เราจึงได้ยินการโฆษณาว่า “รถบ้าน” แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ารถบ้านจะดีเสมอไป เพราะปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นผู้ขาย แต่อยู่ที่ปัญหาความไม่สมมาตรของข้อมูลต่างหาก
จะเห็นได้ว่าจากสถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้เจ้าของรถที่ดีจะไม่ขายรถในตลาดรถมือสอง และการที่เจ้าของรถดีไม่ขายในตลาดรถมือสองทำให้ คุณภาพโดยรวมของรถในตลาดมือสองนั้นต่ำลงไปด้วย และผู้ซื้อก็จะให้ความคาดหวังกับคุณภาพรถในตลาดรถมือสองต่ำเช่นกัน  
จะเห็นได้ว่า ปัญหาหลักในตลาดรถมือสอง คือความไม่เท่ากันของข้อมูล (Asymmetric information) เป็นหลัก ทั้งนี้ยังมีองค์ประกอบภายในเรื่องดังกล่าวได้แก่ แรงจูงใจที่ผู้ขายอยากขายรถที่ไม่ดี และมักจะไม่บอกว่ารถคันไหนดี ในขณะที่ผู้ซื้อเองก็ไม่มีความไว้ใจต่อผู้ขายเช่นกัน  ทฤษฎีนี้พบได้มากมาย เช่น การซื้อขายประกัน หรือแม้แต่ตลาดทุนเอง
ในทางเศรษฐศาสตร์ปัญหานี้ทำให้เกิดความล้มเหลวของตลาด หรือ Market Failure การจะขจัดปัญหานี้ หรืออย่างน้อยบรรเทาลง สามารถทำได้ดังนี้ ประการแรก หากให้ตลาดจัดการกันเอง ควรมีการให้การรับรองในคุณภาพที่มีประสิทธิภาพ และการที่มีความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าในการดำเนินธุรกิจที่ประสบปัญหา Lemon สร้างชื่อเสียงที่ดี และสร้างความเชื่อถือ  ประการที่สอง หากมองในเชิงการแทรกแซงโดยรัฐซึ่งกลุ่มเสรีนิยมที่มีต้นกำเนิดจาก Liberalism อาจไม่ค่อยเห็นด้วย แต่หลังจากที่ทฤษฎีนี้เป็นที่รู้จัก ประเทศอเมริกาก็ได้ออกกฎหมายที่ใช้ควบคุมปัญหานี้ โดยเรียกว่า “Lemon Laws” ที่ควบคุมเหนือไปกว่าการประกันหลังการขาย (Warranties)
ท้ายสุดนักเศรษฐศาสตร์ท่านนี้ยังฝากข้อสรุปอีกว่า The cost of dishonesty, therefore, lies not only in the amount by which the purchaser is cheated; the cost also must include the loss incurred from driving legitimate business out of existence” เป็นการเตือนผู้ที่ดำเนินธุรกิจแบบไม่โปร่งใส หากไม่ตั้งใจคุณอาจกำลังทำลายสิ่งที่คุณรักเองก็ได้.


[1] Lemon จะมีรดชาดเปรี้ยวละมุน สามารถกินได้เลยเหมือนส้ม ไม่ใช่ลูกเขียวเข้มที่เปรี้ยวสุดๆ

การเงินการคลัง ต่างกับ การเงินการธนาคาร อย่างไร ?



การเงินการคลัง ต่างกับ การเงินการธนาคาร อย่างไร ?

ผู้เขียน นาวิน กฤตรัชตนันต์

ขอขอบคุณ ภัทริดา แตงเขียว ตรวจเนื้อหา

 

สองคำนี้มักจะถูกพูดกันอย่างติดปาก แต่หลายคนอาจไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง โดยเฉพาะคำว่า “การเงิน” ที่อาจแปลมาจากคำว่า Monetary และ Finance เหมือนกัน ในเบื้องต้นให้ผู้อ่านมองถึงเศรษฐกิจในระดับมหภาค หรือ ระดับประเทศ ความสัมพันธ์หนึ่งที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและระบบเศรษฐกิจ ภาครัฐเป็นส่วนสำคัญในระบบเศรษฐกิจโดยเป็นผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาคซึ่งประกอบไปด้วย นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) และนโยบายการเงิน (Monetary Policy) ซึ่งคำสองคำนี้รวมเป็น การเงินการคลัง หรือนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) คำนี้คนไทยจะคุ้นเคยมาก่อน สืบเนื่องจากตั้งแต่สมัยอยุธยาที่ปกครองระบบจตุสดมภ์ ที่มีกรมคลัง โดยมีขุนคลังทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ปัจจุบันคลัง ทำหน้าที่ดูแลใช้จ่ายเงินของประเทศที่มาจากการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม  โดยรายจ่ายหลักคือการลงทุนของภาครัฐ และกิจการรัฐอื่นๆ อาทิ เงินเดือนข้าราชการ สวัสดิการสุขภาพ และนโยบายต่างๆที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสวัสดิการของสังคม กล่าวโดยสรุป นโยบายการคลังจึงเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษี และการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นเครื่องมือ เพื่อใช้และบริหารในกิจกรรมต่างๆ โดยในมุมมองทางทฤษฎีคือ การควบคุมให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ หากรัฐบาลลดภาษี หรือเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ จะเป็นนโยบายการคลังแบบขยายตัว ในทางตรงกันข้ามคือ นโยบายการคลังแบบหดตัว โดยนโยบายการคลังจะกระทบโดยตรงกับภาคเศรษฐกิจจริงโดยตรง นอกจากการจัดเก็บภาษีแล้ว อีกช่องทางการหาเงินของรัฐบาล คือการกู้โดยใช้พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นที่นิยมของนักลงทุนที่ไม่นิยมความเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ข้าราชการเกษียณ หรือในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวนสูง นักลงทุนมักจะเลือกลงทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาล มากกว่าเครื่องมือการลงทุนชนิดอื่นๆ
การกู้เงินของรัฐบาลโดยใช้เครดิตของประเทศ เรียกว่า การก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งสิ่งนี้มีบทบาทสำคัญ นำไปสู่ข้อถกเถียงว่า “ควรจะก่อหนี้สารธารณะเพิ่มหรือไม่” และ “เวลาที่เหมาะสมของการก่อหรือลดหนี้คือเมื่อไหร่” ยังไม่นับรวมอีกว่า นโยบายหรือโครงการที่ทำ จะเหมาะสมกับเวลา จะมีประสิทธิภาพ จะเสมอภาค จะควบคุมคอรัปชั่นได้ดี และ จะไม่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือไม่ ? โดยคำถามเหล่านั้นคือต้นทุนที่ต้องแลกกับ ความคาดหวังให้ประเทศพัฒนาผ่านการลงทุนโดยรัฐ     
นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คือ นโยบายที่เกี่ยวข้องกับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสัมพันธ์กับมูลค่าของเงิน และราคาของเงินคือ อัตราดอกเบี้ย รวมทั้งการเงินทุนเข้าออกประเทศในระบบเศรษฐกิจ ปริมาณเงินในระบบส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ผู้ควบคุมคือธนาคารกลาง (Central Bank) โดยประเทศไทยคือธนาคารแห่งประเทศไทย หากปริมาณเงินในระบบเศษฐกิจมาก จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย (ราคาของเงิน) ลดต่ำลง คือ นโยบายการเงินแบบขยายตัว ซึ่งต้องตั้งรับกับผลของเงินเฟ้อที่จะอาจสูงขึ้น ในทางตรงกันข้ามคือการดำเนินนโยบายการเงินแบบหดตัว  โดยนโยบายการเงินจะกระทบกับตลาดการเงินก่อน
นโยบายเศรษฐกิจมหภาคดังกล่าว แม้จะถูกควบคุมโดยองค์การที่แตกต่าง และเป็นอิสระต่อกันในทางทฤษฎี แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การสร้างเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี เช่น ปัญหาด้านการกระจายรายได้ และปัญหาสินค้าสาธารณะ เป็นต้น  ซึ่งในบางครั้งสององค์กรอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีจุดประสงค์และ คุณค่าที่ยึดถือต่างกัน โดยกระทรวงการคลัง มีแนวโน้มที่จะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนเนื่องจากรัฐมนตรีมาจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่ธนาคารกลาง จะเน้นในทางเศรษฐศาสตร์ทฤษฎีมากกว่า ทั้งนี้ทั้งสองเครื่องมือ คือเครื่องมือที่จะลดความรุนแรงจากวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งนำไปสู่ความผันผวนทางเศรษฐกิจที่ไม่จำเป็น ทั้งนี้เครื่องมือทั้งสองต่างก็คือเครื่องมือที่แทรกแซงกลไกตลาดทั้งสิ้น และยังมีความเชื่อในข้อเสียของนโยบายจากภาครัฐที่กลุ่มนี้กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายจากภาครัฐแต่อย่างใดหากเปรียบเทียบกับต้นทุนและความเสี่ยงที่อาจต้องเผชิญ
อีกคำคือ คำว่า การเงินการธนาคาร (Finance and Banking) ซึ่งเป็นเรื่องที่เล็กลงมาในระดับธุรกิจกล่าวคือไม่ใช่มุมมองในระดับชาติ คำว่าการเงินนี้สร้างความสับสน เนื่องจากภาษาไทยใช้คำว่าการเงิน เหมือนกัน แต่ในความเป็นจริง ควรเรียกให้ถูกว่าเป็น นโยบายการเงิน (Monetary) หรือการเงิน (Finance)
การเงิน (Finance) ในมุมมองผู้เขียนคือ การประเมินมูลค่า หรือ Valuation  ทั้งสิ้น การเงินประกอบไปด้วย การเงินบริษัท (Corporate Finance) ส่วนนี้หากทำงานในบริษัทใหญ่ๆ จะรู้จักคือ CFO (Chief Financial Organizer) เน้นเรื่องการจัดการเงินสำหรับธุรกิจ การเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) การจัดการสุขภาพทางการเงินในระดับบุคคล การเงินธนาคาร (Finance and Banking) คือการทำหน้าที่บริการทางการเงินในฐานะคนกลางทางการเงินที่เชื่อมระหว่างผู้มีเงินแต่ไม่มีความคิดลงทุน กับ ผู้มีความคิดจะลงทุนแต่ไม่มีเงินพอ ซึ่งระบบการเงินการธนาคาร นี้ก็มีความสลับซับซ้อนและน่าสนใจไม่ต่างจากนโยบายการเงินการคลัง หากบอกว่าเศรษฐกิจของหลายๆประเทศพังได้จากนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐเป็นหลัก ตัวอย่างที่ผ่านมาไม่นานคือ ประเทศกรีซ โปรตุเกส ไอซ์แลนด์ ต้อนกำเนิดจากวิกฤติหนี้สาธารณะ นำไปสู่ Eurozone Crisis กลางปี 2010 หรือหากต้องการศึกษาวิกฤตเศรษฐกิจที่มาจากระบบการเงินการธนาคารเป็นหลัก คือ Subprime Crisis (Hamburger Crisis) หรือ Global Financial Crisis ที่เริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกา ปลายปี 2008 ผู้เขียนแนะนำภาพยนต์ Inside Job เป็นภาพยนต์สารคดี สัมภาษณ์ตัวบุคคลจริงเกี่ยวกับวิกฤติการเงินโลก และ Margin Call เป็นภาพยนต์ Fiction ที่อ้างว่า เหตุการต่างๆเหล่านี้คือเหตุการณ์ 12 ชั่วโมงแรกของวิกฤติการเงินโลกปี 2008
ในบทความนี้คงจะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจความหมายของคำต่างดังกล่าวนี้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคำว่า Finance ที่หลายท่านมักจะเข้าใจว่าเกี่ยวกับการเอารถยนต์ไปทำ ไฟแนนซ์ และนำเสนอความน่าสนใจของศาสตร์ทางด้าน เศรษฐศาสตร์นโยบายการเงิน การคลัง และ การเงิน (Finance).